เข้าสู่วันที่ 3 ที่อยู่ที่โตเกียว ตามแพลนเลย เราจะไปย่าน Roppongi ค่ะ
ย่านนี้เป็นย่านไฮโซมากๆ ค่าที่ดินนี่แพงแบบสุดๆ อะไรๆก็แพงไปหมด
ในความรู้สึกเรา เมื่อพูดถึงย่านไฮโซในญี่ปุ่นก็จะนึกถึง Roppongi (六本木)และ
Ginza (銀座)แต่…ในความรู้สึกเรานะ มันคนละฟิลเลย
Roppongi เป็นย่านไฮโซแต่เต็มไปด้วย modern art เป็นย่านสมัยใหม่มากกว่ากินซ่าเยอะ
ด้านกินซ่าเป็นย่านไฮๆที่ค่อนข้างผู้ใหญ่นิดนึง ไปเดินตามห้างใหญ่ๆก็จะเห็นคนวัยกลางคนซะเยอะ
แต่ว่างๆเราก็ชอบไปเดินเหมือนกันนะคะ เพราะว่ามีร้าน Chocolate หรือ ร้านCafe
สวยๆเยอะเหมือนกัน
การเดินทางไปที่ย่าน Roppongi จุดเริ่มต้นเราเริ่มที่บ้านเพื่อนค่ะ
นั่งรถเมล์ไปหน้าสถานี 300 yen
จาก Keio Hachioji –> Shinjuku 350 yen
เปลี่ยนเป็นใต้ดินสาย Toei Oedo (都営大江戸線) 210 yen
พอถึงสถานี Roppongi ก็ออกที่ทางออก 3 ค่ะ เดินไปทาง Roppongi Hills
เดินชิลๆก็ 5-6 นาที
ขอเล่าถึงตอนที่เราไปรอเพื่อนอีกคนที่หน้าสถานี Roppongi ก่อน
จังหวะที่ออกจากใต้ดินก็มีผู้หญิง 2 คนเดินตรงมาหาแล้วก็ชวนให้ไปเป็น Hair model ใ้ห้
อยากจะกรี๊ดด อยากทำนะเนี่ย เพราะร้านเค้าอยู่ฝั่งตรงข้ามเอง แต่เพราะนัดเพื่อนกันเที่ยว
เลยต้อง say no ไป จริงๆจะนัดแล้วทำวันอื่นก็ได้ แต่ก็ขี้เกียจมาแล้วอ่ะ ไกล..
คอร์สที่เค้าเสนอมาก็มีตัด ต่อผม ทำสี และดัด ทุกอย่างฟรี มีข้อแม้อย่างเดียวคือ
ยอมให้เค้าถ่ายรูประหว่างทำผมและ Before after คอร์สนี้โดยรวมแล้วน่าจะถึงหลักหมื่นบาท
เพราะเวลาทำผมที่ร้านดังๆที่ญี่ปุ่นเนี่ยราคามันมหาโหดเลย ยิ่งต่อผมด้วยเนี่ยแพงมาก
ขอพูดถึงเรื่องในอดีตนิดนึง
ตอนที่เราเรียนอยู่ก็ได้มีโอกาสเป็น Hair model อยู่หลายครั้ง
ทำฟรีทุกอย่าง แล้วก็ถ่ายลงmagazine โปรโมตร้านและทรงใหม่ๆให้เค้าเเค่นั้นเอง
การต่อผมที่โน่นจะใช้แบบเปีย ไม่มีใช้กาวแบบไทยทำหรอก
เราเองแอบตกใจที่ไทยใช้กาวอยู่เหมือนกัน เพราะลูกพี่ลูกน้องเราไปต่อผมมาที่สยาม
ข้อต่อเป็นกาว เวลารวบผมแล้วไม่น่ารักเหมือนเปียอ่ะ
แต่บางร้านก็ต่อแบบเปียก็มี แต่เห็นราคาแล้วแทบเป็นลม แพงจัง
เราต่อผมบ่อยนะตอนหน้าหนาว แต่ต่อได้ไม่นานเราก็แกะทิ้ง ไอ้น้องเราก็ยังว่ามาจนปัจจุบันว่า
พี่แป้งทิ้งผมเหรอ ทิ้งทำไมเสียดายอ่ะ ทำไมไม่เก็บกลับมา รู้มั้ยมันแพงมากๆๆๆๆๆๆ
ใครจะรู้ฟระว่าอยากได้ จะว่าไปก็เสียดายเนาะ เอามาขายต่อที่ไทยคงได้หลายพันบาท
ทิ้งไปเยอะด้วยสิ
ต่อๆเรื่องไปเที่ยวดีกว่า นอกเรื่องซะนาน…
พอออกจากสถานีปุ๊บฝนก็เริ่มตกปั๊ป ให้มันได้อย่างนี่สิ เห้อออออ…
เดินๆฝ่าฝนไปที่ Roppongi Hills ตึกสูงๆ มีแมงมุมเป็นสัญลักษณ์
ไอติม Cold stone ได้ยินว่าอร่อยมากกกก ผ่านหลายทีแระ เอาไว้รอบหน้าค่อยลอง
ส่วนไอ้ตึกส้มๆ คาดว่าคงเป็นคอนโดระดับ Hiที่โน่น เห็นในแมกกาซีนบ่อยมาก
เพื่อนญี่ปุ่นเองก็บอกว่าเหมือนเป็น Landmark อีกที่ของย่านนี้เลยนะ
รูปซ้าย…ตอนแรกนึกว่าจะเป็นที่กันฝนได้ สรุปมันทำสวยเกิน กันฝนไม่ได้ค่ะ
มันทำเป็นซี่เว้นซี่ ตอนแรกๆก็ไม่ได้สังเกต ก็หุบร่มแล้วเดินตามชายคานี้ไป
เดินไปซักพักเอ๊ะทำไมมันเปียกอ่ะ เลยมองขึ้นไป อืม…อาร์ทไปป้ะ
รูปขวา…สวนด้านหลังสวยดี มองเห็น Tokyo Tower ไกลๆด้วยล่ะ
แมงมุมยักษ์ ถ้ามาย่านนี้ต้องถ่ายซักหน่อย
แถมเราโดนแอบถ่ายอีกแน่ะ เง้อ…
ที่ Roppongi Hills ตอนนี้เค้ามีจัดนิทรรศกาลของ Cassina ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังอยู่
เลยแวะขึ้นไปดูซักกะหน่อย จัดที่ชั้น 52 วิวดีแต่มองอะไรไม่เห็นเพราะฝนตก
ค่าเข้าชมคนละ 1000 เยน
ที่ซื้อตั๋วขึ้นชมด้านบนยังกะโรงหนังแน่ะ ห้องน้ำก็สวยมากๆเลย
ทุกอย่างในตึกนี้ดูดีไปซะหมด
ภายในนิทรรศกาลเค้าห้ามถ่ายรูปนะคะ เท่าที่เดินดูก็ได้เห็นเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่รุ่นแรกๆ
ในใจยังคิดเลยว่า โอ้โห..สมัยก่อนเนี่ยเค้าดีไซน์กันแรงขนาดนี้เลยเหรอ
มีอยู่ยุคนึงที่เก้าอี้แบบหมอฟันฮิตมากๆ ไม่รู้หรอกนะว่าเรียกว่าทรงอะไร
แต่มันเหมือนเก้าอี้ที่เรานั่งทำฟันมากๆเลยอ่ะ
จริงๆแล้วที่ Roppongi Hills มีหลายชั้นให้เดินมากๆเลยค่ะ
เป็น Shop เยอะมากๆ แต่ก็ไม่ได้ถ่ายรูปมา เดินดูได้อย่างเดียว ซื้อไม่ค่อยลง
ไปซื้อพวก Postcard ที่ร้านของที่ระลึก เขียนส่งกลับให้คุณชายที่เมืองไทย
เหะๆ
สัญลักษณ์กลมๆตรงพื้น เป็นสัญลักษณ์ของ Roppongi Hills ค่ะ
เปลี่ยนฝั่งเดินกันมั่ง ย้ายมาที่ Tokyo Midtown ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เราเพิ่งเคยมาครั้งแรกค่ะ ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจพอสมควร ตัวตึกใช้เส้นตรงพุ่งขึ้นข้างบน
มองแล้วให้ความรู้สึกที่ดี ตัวตึกเป็นกระจกเยอะมากๆ โปร่งดี แต่ก็เสียวๆเวลาแผ่นดินไหวเหมือนกัน
แต่เค้าออกแบบมาดี ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่
ตรงพื้นที่ด้านล่างเป็น Free show ค่ะ มีคนมาแสดงเรื่อยๆ
ด้านข้างๆก็มีสวนประดับด้วยผลงานศิลปะแนวใหม่ทั้งหลาย
เราไม่ได้เดินไปดูอ่ะเพราะฝนเริ่มตกหนักแล้ว เลยเข้าตึกดีกว่า
ห้างด้านในก็อลังมากๆ ใช้ไฟโทนส้ม อบอุ่นดี เดินสบายๆ ไม่สว่างเกิน
รูปขวาบน…ตามเสาแต่ละต้นในห้างนี้เค้าจะประดับพวกของประดับ หรือผลงานศิลปะ
พร้อมคำบรรยายไว้ เดินดูไปเรื่อยๆเพลินดี
รูปขวาล่าง…เป็น 7-11 ที่ตึกนี้ค่ะ อยู่ชั้นใต้ดิน โอ้วว…มันอลังมาก
เพิ่งเคยเห็นเซเว่นที่สวยๆก็ที่นี่แหละนะ
รูปซ้ายบน…ร้่านนี้อย่างเท่ ชอบๆแต่ไม่กล้าเดินเข้าอ่ะ ฮ่าๆ
เดินกันเหนื่อยแระ พักทานข้าวเที่ยงกันตอนบ่ายสอง
ที่ร้านดังร้านนี้ เดินวนอยู่นาน หาไม่เจอ
Hayashiya Cha en (林屋茶園) ร้านนี้ดังเรื่องมัตจะ 抹茶มากๆค่ะ
แต่ด้วยความหิวเลยสั่ง 鮭お茶付け แซลมอน โอะจะทซึเกะ
คือจะกินข้าวใส่พวกเครื่องเคียงและราดน้ำชาลงไป อารมณ์ประมาณข้าวต้ม แต่หอมชาด้วย
ร้านนี้ไม่แพงค่ะ ชาหอมดี เสียไปคนละ 900 กว่าเยน
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินเล่นต่ออีกนิด เจ้าน้ำตกอันนี้เป็นจุดนัดพบอีกที่ของตึกเลย สวยดี
หลังจากนั้นก็เดินแถวๆ sakurasaka (桜坂)ย่านถนนแบรนด์เนม
เดินไปพักนึงแล้วมองย้อนกลับมาจะเห็น Tokyo Tower เบ้อเริ่มเลย
ร้านแบรนด์ดังเนี่ย สงสัยคัดพนักงานอย่างดี แต่ละคนยังกะนายแบบนางแบบ สูงหุ่นดีมากๆ
มองดูเวลาอีกที อ๋า…4 โมงแล้ว ต้องรีบเผ่นอย่างด่วนเพราะมื้อเย็นนัดเพื่อนเก่าไปทานซูชิกัน
วันนี้ทานไปน้อย แค่ 10 จานเอง เพราะยังไม่หายอิ่มจากมื้อบ่ายเลย
แต่ก็แอบคิดในใจนะว่า คงทานเยอะแบบแต่ก่อนที่ขึ้นหลัก 20 จานไม่ไหวแล้วมั้ง
อ้วนแน่ๆ แบบว่าแก่ขึ้นหลายปีแระ ระบบเผาผลาญคงแย่ขึ้น
วันนี้ได้เจอ Yuko สาวลูกครึ่งอิตาลี Yoko สาวลูกครึ่งออสเตรีย
น้องดา น้องนักเรียนไทยปีล่าสุด
และก็ Nozomi เหะๆ เห็นกันทุกวัน
นั่งกินไปเม้าท์แตกไป สนุกสนานมากๆ เสียดายที่หลายคนมาไม่ได้ ติดฝน
ฝนตกหนักมากกก
วันพรุ่งนี้ไปเยี่ยมมหาลัยเก่าค่ะ Soka University
และก็ย้ายบ้านไปบ้านรุ้งแล้ว นอกจากเจอเพื่อนเก่าๆสุดที่ร้าก ทั้งรุ้งทั้งสนแล้ว
ยังไปเจอผีบ้านรุ้งอีก แง๊….
รุ้งพาไปทานมื้อเย็นที่ร้านไก่ย่างสุดอร่อย ชีสเยิ้มๆกรี๊ดดด เอาอีกๆๆๆๆ
เอาไว้จะมาเล่าต่อที่ Part III นะคะ
Categories: Dining & Traveling